วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

แบ่งปันข้อคิดจากพระวาจา

ส.4 เทศกาลธรรมดา ปี B - วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2009

สวัสดีพี่น้องที่รักทุกท่าน

นักปรัชญาคนหนึ่งชื่อว่า คาร์ล มากซ์ เคยบอกไว้ว่า “ จุดมุ่งหมายของปรัชญานั้นต้องไม่เพียงแต่การให้คำอธิบายให้กับโลก แต่ต้องเปลี่ยนโลกด้วย” เช่นเดียวกับพระวาจาของพระเจ้าที่จะต้องถูกประกาศและสอนต่อไป

วันนี้ประชาชนที่เมืองคาเปอร์นาอุมได้รับคำแนะนำที่ศักดิ์สิทธิ์ในทุกทุกวันพระเจ้า แต่แล้ววันพระเจ้าวันหนึ่งพวกเขาได้พบ “อาจารย์” ที่สอนพวกเขาแตกต่างออกไป นั่นคือ องค์พระเยซูเจ้าที่ได้ตรัสกับพวกเขา “คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ ไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์”(Mark 1:22). คำสอนของพระเยซูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากคำสอนของธรรมาจารย์ หรืออีกคำก็คือ พระองค์สอนอย่างทรงอำนาจแต่พวกธรรมาจารย์ไม่ได้สอนเช่นนั้น การสอนอย่างทรงอำนาจหมายถึงอะไร?

เมื่อเราเปรียบเทียบความแตกต่างของการสอนของพระเยซูเจ้ากับพวกธรรมาจารย์ เราจะสังเกตถึงความแตกต่างได้ 3 ประการ

1.การสอนของพระเยซูมาจาก หัวใจ มิใช่จาก หัว heart and not just from the head,
2. การสอนของพระเยซูสนใจที่เรื่องจิตวิญญาณ มากกว่าการปฏิบัติตามตัวกฎตามตัวอักษร
3. การสอนของพระเยซูทำให้เกิดแนวคิดในแง่บวกที่ทำให้ผู้ฟังเปลี่ยนแปลงจากหัวใจ เปลี่ยนแปลงจากภายใน


พี่น้องครับ พระเยซูสอนจากใจ พระองค์สอนให้เชื่อถึงข่าวดีของพระองค์ เพราะพระองค์รู้ว่า ข่าวดีนี้เป็นข่าวดีที่มาจากพระเจ้าเอง ตรงกับจิตใจของพระเจ้า เหมือนที่ในพระวรสาร น.ยอห์น ได้กล่าวไว้ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เรากำลังพูดถึงเรื่องที่เรารู้และเป็นพยานถึงเรื่องที่เราเห็น” ยน 3:11
การสอนของพระองค์เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระเจ้า พระบิดาของพระองค์ แต่พวกธรรมจารย์ พวกเขาได้รับความรู้ที่ไม่ได้มาจากความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้า แต่มาจากการเรียนรู้ในเรื่องกฏหมายต่างๆ มาเป็นระยะเวลายาวนาน ดังนั้น จึงเป็นการสอนที่มาจากหัว ไม่ได้มาจาก ใจ
ความแตกต่างอีกประการหนึ่ง ระหว่างการสอนของพระเยซูกับพวกธรรมาจารย์อยู่ที่ “เนื้อหาของข่าวดี” นั้นนั้น พวกธรรมาจารย์สอนตามตัวอักษร ปรับตามตัวอักษร แต่พระเยซูไปลึกกว่านั้น พระองค์ไปถึงเรี่องของจิตใจ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของกฏต่างๆ เนื่องจาก พระเยซูนั้นสามารถค้นพบคุณค่าในแง่บวกของกฏต่างๆ นั้น และบอกว่า กฎนั้นมีไว้เพื่อให้เราปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความรัก


ยกตัวอย่างเช่น การถือกฏเรื่องวันพระเจ้า บรรดาธรรมาจารย์ก็จะวุ่นวายกับการดูซิว่า ใครบ้างที่ไม่ได้ถือกฏในเรื่องวันพระเจ้า ตั้งแต่วันได้เริ่มต้น จนกระทั่งวันนั้นได้สิ้นสุดลง แต่พระเยซูได้มองไปที่จิตใจของพระเจ้าผู้ประทานกฏต่างๆให้มนุษย์ เพื่อแสดงออกถึงความรักความห่วงใยระหว่างพ่อกับลูกๆ พระเยซูเจ้าสรุปว่า วันพระเจ้าก็คือวันที่เราอยู่ให้ห่างจากงานของเราเองเพื่อไปรับใช้พระเจ้าและทำงานของพระองค์ “พระบิดาของเราทรงทำงานอยู่เสมอ เราก็ทำงานด้วยเช่นกัน” ยน 5:17. ข่าวดีนี้ ประชาชนที่ได้รับฟังต่างรู้สึกว่า พวกเขาได้รับการปลดปล่อยแอกหนัก และเป็นข่าวดีที่แตกต่างจากสิ่งที่พวกธรรมาจารย์ได้มอบแอกหนักให้พวกเขามาโดยตลอด

ความแตกต่างสุดท้ายก็คือ สิ่งที่พระเยซูสอนนั้น เรารู้ได้ทันทีว่า พระองค์มีความตั้งใจให้เรามีภาพบวก เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในหัวใจของประชาชน มิใช่แค่ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ดี พวกธรรมาจารย์สอนให้ประชาชนทำตามกฏต่างๆและตามประเพณี แต่พระเยซูสอนให้เราเห็นแง่บวกด้วยการที่พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดตั้งแต่กำเนิด ซึ่งพวกธรรมาจารย์กลับมองอีกมุมว่า ทำไมเขาถึงตาบอด แล้วก็ตัดสินว่า ที่เขาตาบอดนั้นก็มาจากบาปของเขา หรือไม่ก็ของพ่อแม่ ในทางตรงกันข้าม พระเยซูสนใจแต่เรื่อง ทำอย่างไรให้คนตาบอดมองเห็น พระองค์สนใจในเรื่องของการรักษา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้ทำการรักษาและขับไล่ผีปีศาจไปพร้อมๆ กับการสอนของพระองค์ เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่า บทบาทหน้าที่หลักของพระองค์ก็คือ การเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา มิใช่เพียงแค่อธิบายเพียงอย่างเดียว

พี่น้องครับ เมื่อเราได้ฟังพระวาจาของพระเจ้าทุกๆ สัปดาห์ เรากล้าให้พระวาจาท้าทายชีวิตของเราหรือเปล่า? เรากล้าทำให้เกิดแง่บวก มุมมองใหม่ๆ ในชีวิตของเรา หรือเราจะแค่คิด แต่ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต ถ้าอย่างนั้นแล้วพระวาจาของพระที่เราได้ยินในวันนี้ ก็จะเหมือนกับทุกทุกอาทิตย์ ทุกอาทิตย์ที่เราเคยได้ยินและผ่านไปเหมือนเดิม

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น